เทศน์เช้า

ภิกษุกับคฤหัสถ์

๓ พ.ค. ๒๕๔o

 

ภิกษุกับคฤหัสถ์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ความเห็น ขนาดไปทางใต้ แล้วมีโยมเขาขับรถไปด้วย เขามาเล่าให้ฟังไง เขาพูดเองนะ เขาเป็นคนแข็งพอสมควร เขาว่าเขาโชคดีมาก เขาได้เจอพระ เขาไม่เคยเข้าไปหาพระเลย เพราะที่บ้านเขาเกลียดพระ แล้วเขาก็เห็นสภาพของพระไง

พระในวัดแบ่งเป็นคณะใช่ไหม ลงไปหาโยม แล้วเวลาทำผิดก็บังคับให้พระลงไปขอโทษโยม แต่ในวินัยมีนะ ถ้าสมมุติว่าเป็นพระที่เกเรมากแล้วไปทำให้โยมเสียศรัทธา พระนั้นต้องขอโทษโยมนะ มันมีในพรหมทัณฑ์ ปกาสนียกรรมอะไรพวกนี้ มันมีหมด แต่อย่างนี้ เวลามี มีเป็นธรรม แต่พอหมู่สงฆ์ อย่างว่าความเห็นของสงฆ์เป็นอย่างนั้น แล้วมีพระดีมาอย่างนี้ บังคับให้ไปขอ

เมื่อก่อนในศาสนาของเรานะ มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ ปัจจุบันนี้จะกลับกันแล้วนะ กลับเป็นอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุเอาไว้ข้างหลังสุด เพราะภิกษุไม่กล้า ถึงว่าเวลาพอทำความถูกต้อง ถ้ามันถูกธรรมแล้ว ธรรมขัดกับโลก ถูกธรรมแต่ไม่ถูกกับกิเลสช่างมัน แต่ถ้าธรรมถูก กิเลสไม่ถูกธรรม ส่วนมากถูกกิเลสไม่อยากให้ถูกธรรม เพราะถูกธรรมดูแล้วมันด้อยค่า

ถ้ามองทางโลกก็เหมือนกับผ้าขี้ริ้ว อาจารย์บอกเลยเหมือนผ้าขี้ริ้วนะ อยู่ในป่า เหมือนผ้าขี้ริ้ว มันไม่มีค่าไง แต่มันใช้ประโยชน์ได้มากนะ เวลาพระมันจะอหังการไง เหมือนผ้าขี้ริ้วเลย แต่ผ้าขี้ริ้วนี้ห่อทอง กับไอ้ทองห่อขี้

โลกเห็นไหม แหม ดิ้นทองทั้งนั้นเลยนะ แต่สภาพห่ออะไรไว้ แต่ของเรานี่ เป็นผ้าขี้ริ้วเลย แต่ให้ใจมันเป็นธรรม นี่ต่างกันเลย แต่โลกเป็นอย่างนั้น ผ้าดิ้นทอง แต่ห่ออะไรไว้ ห่อแต่ของเน่าของเหม็นไว้ แล้วผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนั้น ถึงว่าคนที่ปฏิบัติธรรมเป็นคนโง่ไง สมถะไง มีก็เก็บไว้ เวลามี เรามีนะ

แต่เวลาเราถือศีล ๘ เราก็ไม่แต่งตัวแล้ว ของมีค่าต้องเก็บไว้แล้ว มีไว้ทำไมๆ มีแล้วไม่ได้ใช้ ไม่มีคุณค่าเลย ไม่มีวาสนาเลย

อ้าว! มีสิ มีคุณค่าของหัวใจไง กินธรรมโว้ย ความอิ่มใจโว้ย กินความรู้สึก กินความอิ่ม กินศีลกินธรรมของพระพุทธเจ้านะ อิ่มธรรมนะ อิ่มธรรมน่ะมันอิ่มทิพย์ ไอ้ที่เขาประดับกันนั่นละ “หิว” หิวอะไร เพราะอยากอวดใช่ไหม ต้องประดับให้เสมอกันนะ หิวกระหายแล้วก็เอามาแปะไว้ แต่ไม่ได้กินไง

ก็แบบว่าเราไปห้างสรรพสินค้าไปมอง โอ้โฮ! สวยมากเลย แต่ไม่มีตังค์ซื้อไง ก็มันไม่ได้กิน เอามาแปะไว้ ใจมันไม่ได้กิน ใจมันอยาก แต่มันกินเข้าไปไม่ถึงใจ เพราะวัตถุมันไม่ใช่อาหารของใจ ใจกินอารมณ์เป็นอาหาร

แต่ศีลธรรมมันเป็นอาหารของใจ ใจอิ่มนะ พอคนอิ่มมันไปไหนก็อิ่มเอิบ ถือศีลไปไหนก็อยู่ได้ แต่ไอ้คนหิวนี่หิวแล้วไม่ได้กิน ฟังดูสิ หิวแล้วเอามาแปะที่มือ แปะไว้ที่คอ แต่ไม่ได้กินเลย แปะไว้เฉยๆ แปะไว้ที่ข้อมือ แล้วก็ว่าอย่างนั้น

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมทนตรงนี้ไม่ไหวไง ทนแรงเสียดสี การนินทาของโลกว่าเป็นผู้ต่ำต้อย เป็นผู้ที่ไม่มีวาสนาเห็นไหม ดูอย่างวัดเรา เราจะสร้างให้มันหรูหรา ให้มันเทียมโลก มันจะเทียมโลกไปไหน มึงสร้างขนาดไหนก็แล้วแต่ มึงสู้ชั้นสวรรค์ไม่ได้หรอก นี่เขาจำลองจากสวรรค์ลงมา พวกโบสถ์ พระวิหาร จำลองจากสวรรค์ลงมานะ

เพราะว่าอย่างเช่น พระปฏิบัติเรานี้ สมัยโบราณเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องปกติเลย เรื่องจะไปเห็นเรื่องข้างบน แล้วจำลองลงมาสร้างไง เขียนแบบเอามาสร้างนี้ แล้วมาสร้างไว้ๆ เป็นของจำลอง คำว่า”จำลอง” จำลองก็ของเทียมอยู่แล้ว ของเทียมนั่นเป็นทิพย์ อันนั้นเป็นทิพย์ มันเกิดขึ้นโดยอำนาจของบุญโว้ย บนสวรรค์มันเกิดขึ้นด้วยอำนาจของบุญนะ เราทำบุญไว้ขนาดไหนก็แล้วแต่ วิมานจะเกิดขึ้น

แต่อำนาจของเรา มันเกิดขึ้นด้วยอำนาจของบุญ มันเป็นทิพย์ มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยอำนาจของการไปขอเขามา แล้วมาก่อสร้าง แล้วสร้างไม่ได้ประโยชน์ด้วย เราไปเอาของเทียมเห็นไหม เหมือนกันเลย เหมือนกับไอ้ห่อขี้ มันไม่ได้กิน ใจมันไม่ได้กิน

นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศล นี่บุญกุศล มันทุกข์ก็ให้มันทุกข์ไปเถอะ แต่เวลาอำนาจของบุญมันเป็นไปนะ ผลัวะ ขึ้นไปเลยนะ แล้วไปอยู่ในสภาพแบบนั้น อันนั้นมันเป็นความจริง มันได้สัมผัสตลอดไง กับได้บุญตลอดนี่ ไม่ได้กินเลย ได้ดูก็ยังดีนะ บางทีไม่ได้ดูด้วย เวลาขาดจากกันลงข้างล่างเลย จะเอาอะไรมาดู มันก็ไปเห็นแต่น้ำเดือดนั่นแหละ ร้อนก็ร้อนนะ นี่มันเป็นอย่างนั้นเวลามันตกนรก มันร้อนแต่มันไม่ตาย

คนมันเกิดมาแปลกนะ คนเรานี่ ภพของคนหนึ่ง ถ้าขาดอาหาร นี่ตาย แต่เวลานรกสวรรค์มันไม่เป็นอย่างนั้น แต่บนสวรรค์มันไม่มีตลาด มันเป็นทิพย์หมด ทุกอย่างเป็นทิพย์หมด

แล้วอย่างเวลาทุกข์ อยู่ในนรกไม่มีจะกิน มันก็ไม่ตาย แต่ของเราไม่กินแล้วตายเพราะเรามีธาตุ ๔ แต่ขันธ์ ๕ มันไม่ตาย ขันธ์ ๕ มันอยู่อย่างนั้น สภาพของความเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ อำนาจของบุญเท่านั้นล่ะถึงจะได้เสวย

แล้วอย่างเราเห็นไหม เวลาไปถวายพระ มาให้พระ ถ้าผู้มีศีลผู้มีธรรมมาให้พระ เวลาให้นี้ให้เป็นวัตถุ ให้เสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลให้พวกนั้น มีได้ก็มาแค่รับส่วนกุศลของเราไง อุทิศส่วนกุศลไง ยังไม่ได้กิน หิวนะ มาแล้วเข้าฝันโน้น เข้าฝันนี่ อยากให้คนนั้นมาใส่บาตรให้กินหน่อย

พวกนี้ต้องอาศัยเป็นนามธรรมไปเลย เพราะโลกนั้นมันเป็นโลกของนามธรรม เป็นโลกของจิตวิญญาณ กินวิญญาณาหาร แต่นี่เรากินคำข้าวเป็นอาหาร ถ้ามันยึดหลักอันนี้ได้มันก็ไม่ตื่นเต้นไปตามโลก

เขาจะพูดกันอย่างนั้นจริงๆ นะ พวกเรานี่พวกอะไรนะ พวกไม่มีวาสนา พวกขี้ทุกข์ ว่าพวกขี้ทุกข์ พวกปลาแห้งไง ปลาย่าง ปลาแห้ง ไม่อิ่มหนำสำราญเหมือนเขาเลย เขาเป็นพวกอิ่มชุ่ม เขาอิ่ม เขาชุ่มกัน ปลาสดเวลามันตายแล้วมันก็เน่า ปลาแห้งมันไม่เน่านะ แล้วมันยังได้ประโยชน์ไปเรื่อยๆ ศาสนาสอนอย่างนั้น เราต้องปฏิบัติ เราต้องศึกษามา พอเราจับประเด็นได้

อย่างนั้นพูดถึงการก่อสร้างนะ พูดจริงๆ แล้วมันไม่ผิด ถ้าไม่มีการก่อสร้าง คนส่วนใหญ่ที่เข้าไม่ถึงการปฏิบัติเขาก็ไม่ได้บุญกุศล ส่วนใหญ่ของคนให้ได้แค่ทาน ทานคือการให้สละออก สละเป็นเงินมาก่อสร้าง อันนั้นเป็นบุญของเขาได้แค่นั้นเอง มันเป็นบุญหยาบๆ ทานแล้วก็มีศีล แล้วก็มาภาวนา

เราเป็นระดับภาวนาแล้วทำไมกลับลงไปกินแค่นั้นล่ะ แต่เราสร้างพอเป็นแบบปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย คนฉลาดเห็นไหม เครื่องอยู่อาศัย เราเป็นเจ้านายวัตถุ เราเป็นเจ้านายของที่เราสร้างขึ้นมา เราใช้ประโยชน์มัน

แต่ถ้าคนโง่นะ อุตส่าห์เกือบตายไปหามา แล้วมันก็เป็นเจ้านาย เจ้านายจริงๆ มันเป็นเจ้านายมาสั่งไง มันสั่งเลยต้องเช็ดอย่างนั้น ต้องล้างอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น มันสั่ง แต่เรากลับไปติดกัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฉลาด ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยมันเป็นบุญทั้งนั้นล่ะ เป็นบุญทั้งนั้นนะ การก่อสร้างหรูหราหรือไม่หรูหรานะ ขอให้น้ำใจเราเต็มที่ก็เป็นบุญหมด ความดีเราสร้างได้กุศลมากกว่าด้วย มันเป็นวิมาน

การก่อสร้าง ศาลา โบสถ์ทุกหลังในประเทศไทย หรือในทั่วโลกนี้ มันไม่ไปสวรรค์หรอก มันเป็นวัตถุ ผู้สร้างต่างหาก หัวใจผู้ที่สละออกต่างหาก เจ้าของผู้ที่สละ หัวใจดวงนั้นมันไปสวรรค์ มันไปของมัน แต่ของวัตถุนั้นไม่ได้ไปหรอก วัตถุเป็นเครื่องแสดงออกเท่านั้น นี้วัตถุมันก็เหมือนกันใช่ไหม วัตถุอย่างไร หัวใจที่มันแสดงออก มันเข้าใจแล้วมันสละออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันก็ได้ผลสิ

แต่ไอ้อย่างที่ว่าวิจิตรพิสดารอย่างนั้น แหม มันวิจิตรพิสดาร มันก็แบบว่าต้องออกมากต้องอะไรมาก มันก็มีความสุขไปอย่างหนึ่ง แต่ความสุขแบบอารมณ์ไง

อย่างเช่น เราเห็นว่าของเราสวย เราก็ดีใจใช่ไหม เราดีใจ อารมณ์ แต่ความสุขแบบเข้าใจด้วยปัญญา อารมณ์นี้คือว่ามันเป็นขันธ์ไง มันจรมา แต่เราบังคับไม่ได้ แต่ปัญญาที่เราบังคับได้เราจะเข้าใจเลย เราทำแบบมีปัญญาไง แบบเด็กมันเล่นอย่างหนึ่ง ผู้ใหญ่ทำงานอย่างหนึ่ง มันต่างกันมากเลย ในเรื่องการก่อสร้างนะ ถึงการก่อสร้างก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ

อาจารย์พูดบ่อย ในพระไตรปิฎกก็ว่า สมัยพุทธกาลไม่เสียเพราะอะไร เพราะนางวิสาขาสร้างวัด พระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลานะเป็นคนไปคุมการสร้างวัด นางวิสาขาเป็นคนสร้างขึ้นมา มันถึงกับว่ามันไม่เห่อเหิมจนเกินไป มันอยู่ในขอบเขต หรือไม่มันไม่เสีย แต่ในปกตินี้พวกเรามันไม่อย่างนั้น งานของเรายังไม่จบ แล้วเราไปเอากันก่อน งานของเรายังไม่จบ

ถ้าพูดไปถึงธรรมะล้วนๆ ไปมันเหมือนกับเราจะไปขัดกับโลกเขาไง โลกเขาจะก่อสร้าง ถ้าสร้างก็เป็นธรรมนะ อย่างสร้างที่ว่าไม่ผิด แต่ส่วนใหญ่แล้วสร้างไม่เป็นธรรมเลย แล้วการก่อสร้างนั้นก็เลยเป็นแบบว่า คนถ้ามันตั้งเป้าหมายไว้ผิดไง การก่อสร้างนี้เป็นผลงานอันประเสริฐ การก่อสร้างนั้นเป็นงานที่สูงสุด แล้วมันก็ติดแค่นั้นเอง

แต่พระพุทธเจ้าสอน งานของพระคืองานชำระกิเลส มันเป็นคนละงานไง เราไปจับงานนั้น เพลินงานนั้น จนลืมงานนี้ไง ลืมหน้าที่ของตัว เหมือนหน้าที่ของตัวไม่ทำ ไปทำหน้าที่ของคนอื่น ไปทำหน้าที่ของพวกช่างเขานะ พวกกรรมกร ไอ้นี่มันเป็นหลักศาสนา

แต่ถ้าประเพณีของไทยเรามันต่างกัน แต่เดิมแต่โบราณกาลมาวิชาการทั้งหมดออกจากวัด แม้แต่ช่างก็ออกมาจากวัด พระเป็นคนรักษาไว้แล้วสอน อันนั้นก็เห็นด้วย แต่ปัจจุบันนี้วิชาการออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วนะ วิชาการในมหาวิทยาลัยเขารุดหน้าไปกว่าวิชาการทางธรรม แต่วิชาการทางจิต จะมหาวิทยาลัยไหนก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าการก่อสร้างมหาวิทยาลัย เขาฝึกคนได้ดีกว่าเรา

แต่ถ้าทางศีลธรรม ทางนิพพานนะ ฮื่อ ทางสิ้นกิเลสนะ ไม่มีที่ไหนสอนหรอก ไม่มี ในศาสนาก็มีศาสนาพุทธศาสนาเดียว เพราะศาสนาพุทธมีมรรคผลนิพพาน ศาสนาอื่นสอนแค่จริยธรรมเท่านั้น ไม่มีมรรค ไม่มีผลหรอก สอนอย่างมากก็สอนแค่จิตเป็นสมาธิเท่านั้น สรรพสิ่งนี้เป็นหนึ่ง เท่านั้นเอง เพราะมรรคนี้ไม่มี ไม่มีผู้รู้ ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีผู้สิ้นกิเลส ใครจะมาสอน คนทั่วไปที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาสอน เราไม่รู้อะไรเลยเราจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ไม่มีศาสดาจะเอาอะไรมาสอน ศาสดาองค์อื่นไม่มีความรู้อย่างนี้จะเอาอะไรมาสอน ไม่มี ไม่มีหรอก

อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ศาสดาผู้มีกิเลสไง” ศาสดาผู้มีกิเลสก็ต้องเอากิเลสมาสอน เอาความนึกมาสอน แต่พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาผู้สิ้นกิเลส! จนปฏิญาณตนว่าเราสิ้นกิเลสแล้ว ถึงเอาธรรมะมาสอน มีศาสนาเดียว มีศาสนาพุทธเท่านั้น เท่านั้นเลย แต่สาวกปัจจุบันนี้เอาอะไรมาสอนกัน

ถึงบอกว่าเป้าหมายผิดไง เป้าหมายพระที่ตั้งไว้อย่างนั้นผิด แต่เรื่องของเขานะ ถ้าเราจะไปว่าเขาอย่างนั้นหมดไม่ได้ ธรรมดาร่างกายก็มีสมอง เห็นไหม หัวสมองก็เล็กนิดเดียว แต่ร่างกายนี้มันมากเหลือเกิน ตัวร่างกายมันเทียบส่วน วงการพระก็ต้องเป็นอย่างนั้น วาสนาบารมีด้วย ถึงเวลาคุย เวลาเขามาพูดให้ฟัง

พวกเรานี้มีวาสนามาก เกิดมาอย่างน้อยก็เจอผู้ที่ชี้นำได้ เกิดมาเจอครูบาอาจารย์ที่สอนได้นะ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์สอน ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางหรอก

ขับรถบนถนนวันนั้น ยังไปวนหลงทางอยู่ตั้งหลายรอบ ถนนมีลูกศรชี้ไปข้างหน้ามันยังหลง มองไปในอากาศ เครื่องบินมันยังมีเข็มทิศ มองเข้าไปในหัวใจสิ มืดแปดด้าน จิตกว่าจะสงบ สงบแล้วจะทำอย่างไร ไม่มีทาง ไม่มีเลย

นี้เรามาเจอผู้ชี้นำ ธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วแต่เราจะตีความ แต่กิเลสที่มันมีในใจ เวลาอ่านมามันตีความตามกิเลสต่างหาก มันไม่ตีความตามธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)